วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กี่แคลอรีจึงจะพอ

เมื่อเห็นฉลากอาหารบอกว่าทั้งกล่องให้ 400 แคลอรี คุณคิดว่ามากหรือน้อย กินแล้วจะอ้วนไหม ฉลากที่กล่องหรือกระป๋องหรือซองบรรจุอาหาร จะบอกข้อมูลทางโภชนาการให้ผู้บริโภคพิจารณาดูว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ ซื้อมาแล้วจะกินได้มากน้อยเพียงไร สิ่งที่อาหารทุกชิ้นให้ข้อมูล คือพลังงาน

แคลอรี่เป็นหน่วยวัดพลังงาน หนึ่งแคลอรี่คือปริมาณความร้อน ที่ทำให้น้ำหนึ่งกรัมร้อนหนึ่งองศาเซลเซียส สำหรับพลังงานที่ใช้ในร่างกาย และพลังงานที่ได้รับจากอาหารเป็นแคลอรีใหญ่ หรือกิโลแคลอรี หนึ่งกิโลแคลอรี คือความร้อนที่ทำให้น้ำหนึ่งกิโลกรัมร้อนขึ้นหนึ่งองศาเซลเซียส

ร่างกายของเราต้องการพลังงาน เพื่อให้อวัยวะภายในทำงาน แม้จะนอนนิ่งอยู่เฉยๆก็ต้องใช้พลังงาน หัวใจจึงจะเต้น มีการหายใจและการทำงานของเซลล์ต่างๆ เมื่อนอนนิ่งๆ ไม่มีการย่อยอาหาร จิตใจสงบ ไม่กระวนกระวาย ร่างกายต้องการพลังงานวันละ 25 กิโลแคลอรี ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม คนทั่วไปที่น้ำหนักตัวประมาณ 50 กิโลกรัม จะต้องการพลังงานขั้นต่ำสุดนี้ ประมาณวันละ 1,250 กิโลแคลอรี ส่วนมากเราจะต้องกินอาหาร ทำกิจกรรมต่างๆ มีนั่งบ้าง เดินบ้าง ขึ้นบันได คนทั่วไปจึงต้องการพลังงานวันละประมาณ 2,000 กิโลแคลอรี

ถ้ากินอาหารเกินความต้องการ ร่างกายจะสะสมไว้เป็นไขมัน กินอาหารที่ให้พลังงานเกินกว่าที่ร่างกายใช้ไปวันละเล็กวันละน้อย น้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นทีละน้อย พลังงานที่เกินไป 7,700 กิโลแคลอรี จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม หรือกินน้อยเกินกว่าที่ใช้ไป 7,700 กิโลแคลอรี น้ำหนักตัวจะลดลง 1 กิโลกรัม

ถ้ากินอาหารมื้อละ 400 กิโลแคลอรี วันละสามมื้อ จะได้รับพลังงานวันละ 1,200 กิโลแคลอรี อาจกินผลไม้และดื่มนมขาดมันเนย เพิ่มพลังงานอีกหนึ่งร้อยแคลอรี รวมเป็นพลังงานจากอาหารวันละ 1,300 กิโลแคลอรี น้อยกว่าอาหารปกติวันละ 700 กิโลแคลอรี เป็นอาหารลดน้ำหนัก ถ้าอาหารนี้มีทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ เป็นอาหารสมดุล ควรจะลดน้ำหนักได้หนึ่งกิโลกรัมในเวลา 11 วัน นับเป็นการลดน้ำหนักที่ดี ไม่เร็วจนเกินไป

คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักตัว สามารถควบคุมตนเอง ไม่ต้องกินอาหารพิเศษ ไม่ต้องให้ใครช่วยดูแล เพียงกินอาหารลดไขมันและน้ำตาล สามารถลดน้ำหนักตัวได้ 3 กิโลกรัม ในเวลาหนึ่งเดือน สารอาหารที่ให้พลังงาน คือไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี คาร์โบไฮเดรตและโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี ที่ทำให้คนส่วนมากอ้วน คือไขมัน เพราะไขมันให้พลังงานสูง และเมื่ออยู่ในอาหารเป็นไขมันล้วนๆ ส่วนคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนมักจะมีน้ำผสมอยู่ด้วย เช่น เวลาหุงข้าว เราต้องใส่น้ำลงไปมากกว่าข้าว กินข้าวจึงได้ทั้งแป้งและน้ำพร้อมๆกัน

คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักตัว ต้องติดตามแคลอรี่อย่างใกล้ชิด น้ำหนักตัวจะเพิ่มหรือลด ขึ้นอยู่กับพลังงานที่ได้รับและพลังงานที่ใช้ไป ถ้าอยากกินมาก ต้องใช้แรงมาก วิธีตรวจสอบง่ายๆว่ากินอาหารพอดีหรือไม่ คือกินอาหารตามปกติทุกวัน และทำกิจกรรมตามปกติเป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ ถ้าน้ำหนักตัวคงที่ แปลว่าเท่าที่กินนั้นพอดีสำหรับน้ำหนักตัว ถ้าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น แปลว่ากินอาหารให้พลังงานมากเกินไป ถ้าน้ำหนักตัวลดลง แปลว่าพลังงานจากอาหารน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ

การปรับอาหารเพื่อเพิ่มหรือลดแคลอรี ทำง่ายที่สุดโดยเพิ่มหรือลดเครื่องดื่มที่ให้พลังงานน้ำอัดลมหนึ่งถ้วย ประมาณ 250 มิลลิลิตร ให้พลังงานประมาณ 100 กิโลแคลอรี พลังงานทั้งหมดมาจากน้ำตาล วันหนึ่งลดเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมแก้วเดียว เปลี่ยนเป็นน้ำเปล่า จะลดพลังงานจากอาหารได้ 100 กิโลแคลอรี เจ็ดสิบเจ็ดวัน ประมาณสองเดือนครึ่งจะลดน้ำหนักได้หนึ่งกิโลกรัม ลดช้าๆแต่แน่นอน ไม่เกิดอันตรายต่อร่างกาย ไม่ทำให้หิวโหยจนทนไม่ได้ สุขภาพจะดีขึ้น

แม้แต่เปลี่ยนน้ำหวานเป็นนมขาดมันเนย จะได้รับแคลเซียมและโปรตีนเพิ่มขึ้น โดยที่พลังงานน้อยลง ถ้าอ่านฉลากข้างกล่องนม จะเห็นชัดว่านมพร่องมันเนยให้พลังงานน้อยกว่านมเต็มรูปเกือบครึ่ง ไขมันที่พร่องไปเป็นไขมันที่เป็นอันตรายต่อหัวใจ การดื่มนมพร่องมันเนยหรือขาดมันเนย จึงดีต่อสุขภาพ

เมื่อเลือกซื้ออาหาร สิ่งแรกที่เราต้องการคือความอร่อย ถึงจะมีประโยชน์มาก แต่ถ้าไม่อร่อย คงไม่มีคนซื้อ หลายคนยอมกินยาแทนที่จะเลือกอาหารมีประโยชน์ เพราะกลืนยาเม็ดนิดเดียว ง่ายกว่ากินอาหารไม่อร่อยทั้งมื้อ ตราบใดที่สังคมยังเห็นว่ารูปร่างดีคือผอม เราต่างพยายามผอมโดยมีสุขภาพดี นอกจากความอร่อย เรายังต้องการอาหารที่สะอาด มีประโยชน์ ให้สารอาหารต่างๆมากโดยที่ไม่มีน้ำตาลและไขมันมากเกินไป

การมีสุขภาพดีจากอาหาร ควรจะได้อาหารมื้อละประมาณ 600 กิโลแคลอรี ควรจะเป็นคาร์โบไฮเดรต 300 กิโลแคลอรี คิดเป็นน้ำหนักได้ 75 กรัม ควรจะเป็นโปรตีน 90 กิโลแคลอรี คิดเป็นน้ำหนักได้ 22 กรัม ควรจะเป็นไขมัน 210 กิโลแคลอรี คิดเป็นน้ำหนักได้ไขมันหรือน้ำมัน 23 กรัม นั่นคือได้รับครึ่งหนึ่งของอาหารเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตีนร้อยละ 10 ถึง 15 ไขมันร้อยละ 35

ฉลากอาหารมักจะมีข้อมูลทางโภชนาการ บอกทั้งปริมาณและร้อยละของปริมาณที่ควรได้รับในหนึ่งวัน สำหรับอาหารทั้งมื้อ ควรไม่เกิน 600 กิโลแคลอรี เผื่อเหลือให้เลือกผลไม้เพิ่มเป็นขนม ดื่มนมเป็นเครื่องดื่ม นอกจากกินดีแล้ว ยังต้องออกกำลังกายด้วย จึงจะมีรูปร่างดีและแข็งแรง

เคล็ดเล็กๆเกี่ยวกับการทำอาหาร

++ต้มไข่ไม่ให้เปลือกแตกร้าว
โดยเฉพาะเมื่อต้องการต้มไข่คราวละมากๆ เช่น ต้มไข่ทำไข่พะโล้ หรือใช้รับประทานกับขนมจีนน้ำยา ไข่อาจกระทบกันจนเปลือกแตกร้าวก่อนสุกได้ง่าย แนะนำให้ใช้ไข่ที่เปลือกไม่มีรอยร้าว เปลือกสะอาด ใส่น้ำให้ท่วมไข่ทั้งหมดและให้ใช้น้ำเย็นตั้งแต่เริ่มต้น

วิธีง่ายๆเพื่อป้องกันไข่แตกร้าวคือ
1. ใส่น้ำมะนาวลงในน้ำที่ต้มสักเล็กน้อย น้ำมะนาวจะช่วยป้องกันไม่ให้ไข่ไหลออกจากเปลือก
2. ใส่เกลือในน้ำที่ต้มประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ เกลือจะช่วยป้องกันไม่ให้ไข่ไหลออกมาตามรอยแตก

++ต้มไข่ให้ไข่แดงเป็นยางมะตูม
การจะต้มไข่ให้เป็นไข่ต้มสุกแข็งทั้งฟองหรือมีไข่แดงเป็นยางมะตูม ขึ้นอยู่กับเวลาที่ใช้ต้ม ถ้าต้องการให้ไข่แดงเป็นยางมะตูม ให้ใส่ไข่ในน้ำเย็น นำไปตั้งไฟจนเดือด จับเวลาตั้งแต่เริ่มประมาณ 10 นาที แล้วตักขึ้นแช่ในน้ำเย็น

++ทอดไข่ดาวให้น่ารับประทาน
ใส่น้ำมันในกระทะก้นลึกพอประมาณ ตั้งไฟจนน้ำมันร้อนแต่ไม่ร้อนจัด ต่อยไข่ใส่ถ้วยก่อนใส่ในกระทะ แล้วรีบตะแคงกระทะให้ไข่จมในน้ำมัน ใช้ตะหลิวหรือช้อนตักไข่ขาวขึ้นปิดไข่แดง ทอดพอเหลืองแล้วตักขึ้น จะได้ไข่ดาวที่กรอบเหลืองและไข่แดงเป็นยางมะตูม

++ทอดไข่ดาวให้สวย
นอกจากทอดไข่ดาวโดยใช้น้ำมันแล้ว ยังสามารถทอดไข่โดยใช้น้ำได้ด้วย ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมไขมันหรือน้ำหนัก เคล็ดลับง่ายๆคือ ให้ใส่น้ำส้มสายชูลงในน้ำที่ทอดสัก 1-2 หยด เพื่อให้ไข่จับตัวกันเร็วขึ้น ไข่ดาวน้ำที่ได้จะนุ่มสวยน่ารับประทาน

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552

การใช้น้ำมันพืช

ส่วนไหนของข้าวที่นำมาทำน้ำมัน
เมล็ดข้าวครบเมล็ด (Whole Rice) หรือข้าวเปลือก ประกอบด้วย ส่วนที่เป็นเปลือกข้าว (Hull) ประมาณร้อยละ 20 ของน้ำหนัก ส่วนเยื่อสีน้ำตาลอ่อนที่หุ้มด้านในติดเมล็ดข้าว เรียกรำข้าว (Rice Bran) ประมาณร้อยละ 10 ของน้ำหนัก และเป็นเมล็ดข้าวขาวปริมาณร้อยละ 70 ของน้ำหนัก รำข้าวเป็นผลผลิตพลอยได้จากการสีข้าว ซึ่งจะได้ประมาณร้อยละ 8 - 10 ของน้ำหนักข้าวเปลือก ขึ้นอยู่กับการขัดสีมากหรือน้อย ปัจจุบันข้าวไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง) มีผู้นิยมบริโภคในประเทศมากขึ้น แต่ปริมาณข้าวขัดสีก็ยังมีปริมาณความต้องการมากกว่าเพราะเป็นผลผลิตส่งออกและนำไปทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ขนมปังกรอบ ก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่ และแป้งข้าวเจ้า เป็นต้น ถึงแม้ปริมาณรำข้าวที่ได้จากการขัดสีต่อน้ำหนักของข้าวเปลือกมีไม่มากนัก แต่เมื่อคำนวณจากข้าวที่ผลิตได้ของทั้งประเทศก็ได้ปริมาณรำข้าวมากเป็นจำนวนนับล้านตันทีเดียว

วิธีเลือกน้ำมันพืชเพื่อสุขภาพ
ในชีวิตประจำวัน เราคุ้นเคยกับการใช้หรือบริโภคน้ำมันพืชเพื่อประกอบอาหารอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทอด การผัด หรือแม้กระทั่งการทำขนมต่างๆ แต่สิ่งสำคัญที่คุณต้องคำนึงถึงก็คือ กรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันพืชแต่ละชนิดซึ่งมีสัดส่วนที่แตกต่างกัน กรดไขมันบางชนิดเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้ แต่บางชนิดมีส่วนทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพได้เช่นกัน ดังนั้น จึงควรรู้วิธีการเลือกน้ำมันพืชที่ดีให้กับทุกคนในครอบครัว เพราะสิ่งที่น่าสนใจก็คือมีน้ำมันพืชบางชนิดช่วยเสริมสร้างสุขภาพ โดยสามารถช่วยลดโคเลสเตอรอลอันเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มวิตามินให้กับร่างกาย และลดการเกิดอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง

วิธีการเลือกน้ำมันพืชให้ดีกับสุขภาพนั้นมีจุดสำคัญที่ควรจะสังเกต 2 ประการ คือประเภทของกรดไขมัน ในน้ำมันพืชทุกชนิดจะมีกรดไขมันอยู่ 3 ประเภท คือ กรดไขมันอิ่มตัว กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง และกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว หรือ MUFA (Monounsaturated Fatty Acid) เป็นกรดไขมันที่ช่วยลดโคเลสเตอรอลที่ไม่ดี หรือ LDL-C (Low Density Lipoprotein Cholesterol) โดยไม่ลดโคเลสเตอรอลที่ดี หรือ HDL-C (High Density Lipoprotein Cholesterol) น้ำมันพืชที่บริโภคโดยทั่วไปที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูงสุด ได้แก่ น้ำมันมะกอก รองลงมาคือน้ำมันคาโมลา และน้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอกและน้ำมันคาโมลา เป็นที่นิยมในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ในขณะที่น้ำมันรำข้าวเป็นที่นิยมในญี่ปุ่น และปัจจุบันยังเริ่มเป็นที่นิยมในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

เรื่องของกรดไขมันสำคัญมิใช่น้อย
ปัจจุบันมีการแนะนำให้กินอาหารที่มีสัดส่วนของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFA) สูงกว่ากรดไขมันอิ่มตัว (SFA) และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFA) เนื่องจาก MUFA นอกจากจะลดโคเลสเตอรอลในไลโปโปรตีนที่มีความหนาแน่นต่ำ LDL-C ซึ่งเป็นโคเลสเตอรอลไม่ดี ที่มีส่วนทำให้เกิดการอุดตันในผนังหลอดเลือดแดงแล้ว ยังเพิ่มหรือคงระดับคอเสลเตอรอลในไลโปโปรตีนที่มีความหนาแน่นสูง HDL-C ซึ่งเป็นโคเลสเตอรอลที่ดี ที่ช่วยพา Cholesterol ในเซลล์และกระแสเลือดไปเผาผลาญ คำแนะนำนี้ต่างจากในอดีตซึ่งแนะนำให้บริโภคน้ำมันที่มี PUFA สูง เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง เพราะในขณะนั้นพบว่า PUFA ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล ต่อมามีการศึกษาและได้ข้อมูลเพิ่มเติมกลับพบว่า PUFA มีส่วนเพิ่มอัตราการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของ LDL-C ได้มากกว่า MUFA ซึ่งการเกิดปฏิกิริยานี้มากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

การเลือกน้ำมันปรุงอาหาร
การเลือกใช้น้ำมันพืช เราควรใช้น้ำมันใหม่ในการปรุงอาหาร เพื่อป้องกันสารก่อมะเร็งและโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่สำคัญควรเลือกน้ำมันจากองค์ประกอบของกรดไขมัน ปัจจุบันองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้บริโภคไขมันไม่เกินร้อยละ 30 ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน และควรมีสัดส่วนของกรดไขมันอิ่มตัว (SFA) : กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFA) : กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFA) เท่ากับ น้อยกว่า 10 : 10 – 15 : น้อยกว่า 10 หรือพูดง่ายๆ คือแนะนำให้บริโภคน้ำมันที่มี MUFA สูง และเลี่ยงน้ำมันที่มี SFA และ PUFA สูงน้ำมันพืชSFA MUFA PUFAคำแนะนำของ WHO* <28.6 28.6 – 42.8 <28.6น้ำมันมะกอก14 77 9น้ำมันรำข้าว18 45 37น้ำมันข้าวโพด13 20 62น้ำมันถั่วเหลือง16 24 60น้ำมันทานตะวัน 12 21 67น้ำมันปาล์ม50 39 10*แปลงจากคำแนะนำของ WHO (<10 : 10 - 15 : <10) เป็นร้อยละของกรดไขมันทั้งหมด

ดื่มชาอย่างไรให้เท่

หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าชาเป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย แต่น้อยคนจะรู้ว่าควรดื่มชาอย่างไรจึงจะได้รับประโยชน์เหล่านั้นอย่างเต็มที่ คุณกฤษณา เรืองศรี ผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ Divana นักดื่มชาที่ค้นคว้าหาความรู้ในเรื่องนี้มายาวนาน จะมาช่วยแนะนำ 10 เคล็ดลับสำหรับการดื่มชาอย่างถูกวิธี

1. ชาบรรจุขวดที่ขายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป จะต้องผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน ซึ่งส่งผลให้คุณค่าที่ร่างกายควรจะได้รับจากชาลดน้อยลงไปด้วย ดังนั้น ควรจะชงชาดื่มเอง
2. หลีกเลี่ยงน้ำก๊อก มองหาน้ำแร่ เพราะคลอรีนในน้ำประปาอาจมีผลต่อชา ทางที่ดีหาน้ำแร่มาต้มจะดีกว่า 3. คนส่วนใหญ่มักจุ่มชาเพียง 50 วินาทีแล้วดื่ม แต่การดื่มชาอย่างถูกต้องนั้นควรแช่ซองชาในน้ำอุ่นประมาณ 3-5 นาทีก่อน แล้วค่อยยกขึ้นจิบ นี่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะช่วยให้เราดื่มด่ำรสชาติและได้คุณค่าจากชาแก้วนั้นอย่างเต็มที่
4. หากดื่มชาจนหมดแก้วแล้ว อย่าลืมเปลี่ยนชาถุงใหม่ น้ำที่ต้มสุกแล้วก็เช่นกัน หากเหลือก็ไม่ควรนำมาต้มซ้ำเป็นครั้งที่สอง เพราะน้ำที่ผ่านการต้มจนเดือดจะสูญเสียคุณค่าไปเรียบร้อยแล้ว
5. ไม่ควรดื่มชาเกิน 3 ถ้วยต่อวัน หากมากกว่านี้จะทำให้ไตของคุณต้องทำงานหนัก
6. ดื่มชาบ่อยๆ แล้วควรแปรงฟันบ่อยๆ ด้วยเช่นกัน นอกจากมันจะทำให้เกิดคราบบนฟันแล้ว ชาอาจเป็นสาเหตุของกลิ่นปากได้อีกด้วย
7. หลายคนอาจสงสัยว่าการเติมนมลงในชา จะทำให้คุณค่าของนมสูญเสียไปหรือเปล่า แม้จะยังไม่มีผลการวิจัยยืนยันแน่ชัด แต่นมจะช่วยเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกายของคุณได้แน่ๆ
8. ผลวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดบอกว่า ชาเขียวคือชาที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด
9. หากคิดจะดื่มชา ควรเริ่มด้วยการดื่มชาขาว เพราะดื่มง่าย ไม่มีกลิ่นฉุน และรสชาติไม่เข้มข้นจนเกินไป 10. ถ้าเบื่อชาร้อนแล้วละก็ ลองนำชาขาวเข้าตู้เย็นใส่สเปียร์มินต์ โรสแมรี่หรือใบสะระแหน่ลงไปสักหน่อย คุณก็จะได้ชาเย็นๆ ที่ดื่มแล้วสดชื่นเพิ่มขึ้นอีกแก้ว
D.I.Y. ชาที่เหมาะกับผู้ชายคือชาเขียว แต่ถ้าวันหนึ่งคุณไปเดทกับหญิงสาวในร้านชา และบังเอิญว่าเธอไม่รู้จะสั่งชาอะไรดี ลองแนะให้เธอสั่งชาขาวสิครับ เพราะชาขาวเป็นชาที่เหมาะกับหญิงสาวที่สุด

D.I.Y. ประโยชน์หนึ่งของชาเขียวคือช่วยป้องกันมะเร็งจากแสงแดด ดังนั้นหากนำชาเขียวมาขัดผิวก็จะช่วยให้คุณไม่ต้องปวดหัวกับการสรรหาครีมกันแดดมาทาผิว แต่ไม่ใช่ว่าจะเอาชาเขียวมาปั่นแล้วนำมาขัดผิวเลยนะครับ ควรจะดับกลิ่นฉุนของชาเขียวด้วยการผสมน้ำผึ้งในอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่งเสียก่อน

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วิธีดองผักและผลไม้

การดองเป็นการถนอมอาหาร เพื่อเก็บไว้ทานได้นาน ๆ วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีดองผักและผลไม้มาฝากกัน...โดยปกติแล้วการดองจะแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ การดองเปรี้ยวและการดองเค็ม

การดองเปรี้ยวนั้นทำได้ 2 วิธี คือ
1. แช่ชิ้นอาหารลงในน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นประมาณ 5-8% (เกลือ 5 กรัม/ น้ำ 95 กรัม) จากนั้นแช่พักไว้ประมาณ 5 วัน ของดองก็จะเกิดกรดแล็กติกที่มีรสเปรี้ยว แต่ทานได้ไม่มีอันตรายจากเชื้อจุลินทรีย์
2. คือการดองโดยใช้น้ำส้มสายชูเป็นตัวแต่งรส จะทำให้ของดองมีกลิ่นหอมขึ้น
ส่วนการดองเค็ม เช่น การทำน้ำปลา หรือไข่เค็ม ต้องใช้น้ำเกลือที่มีความเข้มข้นประมาณ 20% และแช่อาหารทิ้งไว้ 10-15 วัน โดยโรยเกลือสลับอาหารเป็นชั้นบาง ๆ
การดองเปรี้ยวยังปรุงแต่งเพื่อให้มีรสกลมกล่อม และนำมาทานเพื่อเรียกน้ำย่อยทันที โดยมีส่วนผสมของเกลือ น้ำส้มสายชู น้ำตาล ทราย และเครื่องเทศ รวมทั้งพริกต่าง ๆ เพื่อให้มีรสเผ็ดเข้มจัดขึ้นได้อีกด้วย การดองแบบนี้ส่วนมากจะนิยมใช้ผักและผลไม้มาดองเท่านั้น

วิธีทำ
- เลือกผักหรือผลไม้ตามชอบ ประมาณ 500 กรัม นำมาล้างทำความสะอาด ตัดแต่งให้สวยงามตามต้องการ พักให้สะเด็ดน้ำ นำมาใส่ลงในขวดที่แห้งและสะอาด ที่สำคัญได้ต้มฆ่าเชื้อแล้ว อาจใส่เครื่องเทศและพริกสดเพื่อแต่งกลิ่นและรสตามชอบ - จากนั้นนำน้ำตาลทราย 5 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 2 ช้อนโต๊ะ น้ำสมสายชู 1 ถ้วย มาเคี่ยวจนข้นเข้ากันดี แล้วพักให้เย็นลง - นำมาเทใส่ลงในขวดผักที่เตรียมไว้ กดให้น้ำท่วมผัก ปิดฝาให้แน่น พักไว้ 3-5 วัน
หากชิ้นผัก หรือผลไม้นั้นมีน้ำมาก เช่นดอกกะหล่ำ หัวผักกาด หรือกะหล่ำปลี เป็นต้น ให้นำมาคลุกเคล้ากับเกลือให้ทั่วเสียก่อนแล้วพักไว้ เพื่อให้เกลือเป็นตัวช่วยดึงน้ำออกจากผักกลายเป็นน้ำเกลือ
รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากทานของดองก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

เคล็ดลับการต้มเส้นชนิดต่าง ๆ ให้น่าทาน

ใครที่ชอบทานอาหารชนิดเส้น แล้วยังไม่ทราบเคล็ดลับต้มเส้นให้อร่อย วันนี้เกร็ดความรู้มีเคล็ดลับมาฝากกัน...

สปาเก็ตตี้ Spaghetti
เส้นพาสต้ามักต้องใช้น้ำมากกว่าปกติเวลาต้ม สำหรับพาสต้า 100 กรัม ต้องใช้น้ำประมาณ 1 ลิตร ให้ต้มน้ำจนเดือดพล่าน จากนั้นใส่เส้นสปาเก็ตตี้ลงไป เติมเกลือเล็กน้อย คนทันทีและต้มต่อประมาณ 10 นาที เส้นก็จะสุก ๆ ดิบ ๆ กำลังดี

วุ้นเส้น Bee Hoon
มีสองวิธีในการปรุงวุ้นเส้น คือ หากต้องการนำเส้นไปผัด ก็ให้แช่ในน้ำเย็นธรรมดาประมาณ 3 นาที จึงตักขึ้นและนำไปผัดได้ตามปกติ หรือถ้าทำเป็นแกงก็ให้นำน้ำซุปกับเครื่องปรุงทั้งหมดลงต้มจนเดือดแล้วเติมวุ้นเส้นลงไปต้มต่อประมาณ 3 นาที

หมี่สั้ว Mee Sua
เส้นหมี่แบบนี้จะสุกเร็วกว่า ต้มน้ำให้เดือดพล่านใส่เส้นหมี่สั้วลงไปและคนเบา ๆ 2 นาที ตักขึ้นทันที จากนั้นเติมน้ำซุปและเครื่องปรุงลงไปบนจานได้ตามต้องการ

โซบะ Soba
เส้นโซบะมักต้มในน้ำเดือดประมาณ 6 นาที จึงตักขึ้นอีกครั้ง เสิร์ฟเย็น ๆ หรือใส่ซุปร้อนก็ได้

บะหมี่ไข่ Egg Noodle
ต้มในน้ำเดือดประมาณ 2 นาทีครึ่ง หรือสังเกตดูว่าเส้นเริ่มใสและ "กัด" ได้แล้ว จากนั้นจึงตักขึ้นแช่ในน้ำเย็น เพื่อให้เส้นมีความนุ่มและยืดหยุ่นตัวได้ดี นำไปปรุงอาหารหรือผัดได้ตามชอบ

ถ้าอยากทานเส้นอร่อย ๆ ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

สารพัดประโยชน์น้ำส้มสายชู

น้ำส้มสายชู เป็นสารประกอบของกรดน้ำส้มกับน้ำ ได้จากการหมักน้ำผลไม้จนเกิดแอลกอฮอล์ ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ หมักแล้วถ้าอยากได้น้ำส้มใช้เร็วๆ ก็หมั่นคนบ่อยๆ ให้ออกซิเจนลงไปทำการเปลี่ยนแปลงทางเคมีไม่ขาดตอน

ประโยชน์ของน้ำส้มสายชู ส่วนใหญ่เน้นเรื่องการดูแล ป้องกันรักษาสุขภาพและโรคภัย เช่น ใช้น้ำส้มสายชูผสมต้นโทงเทงสด หรือผักคราดหัวแหวนสดๆ คั้นเอกน้ำชุบสำลีอมไว้ข้างแก้มค่อยๆ กลืนทีละนิด แก้ฝีในคอ หรือต่อมทอนซิลอักเสบได้ชะงักนักแล
ยามไปเที่ยวทะเล ขอให้พกพาน้ำส้มสายชูไปด้วยทุกครั้ง หากเคราะห์หามยามร้าย เจอแมงกะพรุนไฟเข้าก็อย่าตกใจ ราดน้ำส้มตรงบริเวณถูกแมงกะพรุนทันที จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้ทันใจผิวที่เจอแดดจัดๆ จนเป็นรอยเกรียม ลูบด้วยน้ำส้มสายชู ผิวที่ไหม้จะไม่พองให้คุณปวดแสบทรมานได้อีก
ด้านการถนอมอาหาร สมัยก่อนมีการดองเปรี้ยวผักต่างๆ ด้วยน้ำส้มไว้บริโภคนานๆ เช่น ต้นหอม ผักเสี้ยน กระเทียม ขิง
ในแง่ของการขจัดรอยเปื้อน น้ำส้มสายชูก็เป็นมือโปรสำหรับแม่บ้านได้ยอดเยี่ยม เลือกใช้ได้ตามอาการต่อไปนี้
» รองเท้าหนัง รองเท้ายาง หรือสารสังเคราะห์ใดๆ ก็ตาม หากเปื้อนน้ำมันให้เช็ดด้วยน้ำส้มสายชูแล้วจะหมดรอย
» กระจกบานเกล็ดสกปรก ล้างด้วยน้ำส้มสายชูผสมน้ำสะอาดรับรองเงางาม สะอาดใสแจ๋ว
» หม้ออะลูมิเนียมเป็นคราบดำ น้ำส้มสายชุละลายขี้เถ้าใต้เตาถ่าน ขัดถูก็สะอาดเอี่ยมในพริบตา
» ภาชนะทองแดง ทองเหลือง ขัดด้วยน้ำส้มผสมเกลือในอัตราส่วนเท่ากัน ผ้านุ่มๆ จุ่มพอหมาดเช็ดถูแล้วจะแวววาวขึ้น
» ของใช้พลาสติก ตลอดจนภาชนะอื่นๆ ในครัวเปื้อนไขมันมากจนเป็นรอยดำ ให้แช่ในน้ำอุ่นผสมน้ำส้มสายชู รอยเปื้อนจะหายไปพร้อมกับกลิ่นอาหาร
»ปัญหาของเตาอบ ถาดอบเครื่องครัวสแตนเลส และพื้อนครัวเป็นคราบสกปรกล้างยาก ใช้น้ำส้มเช็ดถู คราบฝังแน่นกับเศษอาหารตามพื้นจะหลุดง่าย ไม่เปลืองแรงขัด
» เฟอร์นิเจอร์ ฝาผนังบ้านต่างดำ มีคราบนิ้วมือของสมาชิกตัวเล็กผ้านุ่มๆ ชุบน้ำส้มสายชูร้อนๆ เช็ดปุ๊บหายปั๊บ
» อ่างล้างมือ อ่างอาบน้ำ ราวโครเมียมสกปรก เป็นสนิม น้ำส้มสายชูกับน้ำสบู่ เช็ดถู ทุกอย่างเงางามสะอาดตา
» รอยเปื้อนสุดท้ายที่มักสร้างความอับอายให้ก็คือ เสื้อผ้าบริเวณรักแร้เป็นคราบเหลืองนั้น น้ำส้มสายชูทาตรงรอยเปื้อนให้ชุ่ม หากได้แช่เสื้อผ้าในน้ำส้มสายชุสักครู่ก่อนซักตามปกติ กลิ่นเปรี้ยวและเหม็นอับจากเหงื่อจะหายพร้อมรอยเปื้อน
น้ำส้มสายชูยังมีคุณสมบัติ ขจัดกลิ่น ได้ไร้เทียมทาน กลิ่นอาหาร กลิ่นผลไม้แรงๆ อย่างทุเรียนที่ติดตามภาชนะพลาสติกนั้น ให้เช็ดด้วยน้ำส้มสายชูตามด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง
» ท่อระบายน้ำภายในอาคารบ้านเรือนที่มักสกปรกเร็ว ตามด้วยกลิ่นเหม็นรุนแรง รบกวนความสุข ให้เทผงฟูลงท่อน้ำร่องไปก่อน 1 กำมือ สักครู่ตามด้วยน้ำส้มสายชูอีก 1 ถ้วย ทิ้งไว้สักพัก ลองเปิดน้ำระบายดุอีกที
» เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเนื้อวัว เนื้อควาย ถ้าแช่น้ำเกลือผสมน้ำส้มสายชูก่อนเก็บเข้าตู้เย็น กลิ่นคาวจะไม่ออกมารบกวนอาหารอื่นๆ ด้วย
การแก้ปัญหาภายในบ้าน
» ฝักบัวในห้องน้ำเกิดอุดตันใช้ไม่สะดวก น้ำที่ไหลกะปริบกะปรอย ลองถอดชิ้นส่วนออกมาแช่น้ำส้มสายชูปัดเศษฝุ่นด้วยแปรง แทงตามรูด้วยเข็มหมุด ล้างให้สะอาด ประกอบเข้าที่เดิม คราวนี้ฝักบัวไหลฉลุยแน่นอน
» ขวด แจกัน คนโทที่ปากแคบคอดเล็ก ทำความสะอาดยาก กรอกน้ำส้มสายชุ ผสมเปลือกไข่ทุบพอละเอียด แช่ไว้ แล้วเขย่าๆ เศษคราวสกปรกจะหลุดโดยง่าย
» หม้อและกาต้มน้ำชา กาแฟทั้งหลาย ใช้ไปนานๆมักมีตะกรัรนหินปูนจับหนา น้ำส้มสายชูผสมน้ำอย่างละถ้วย เทลงในภาชนะ ต้มให้เดือด แล้วทิ้งให้เย็นค้างไว้ 1 คืน ตะกอนทั้งหลายจะหลุดเป็นกระบิทีเดียว
ท่านสุภาพสตรีที่มีปัญหาม้วนผม หรือเซ็ทผมแล้วไม่อยู่ตัว หรือหยิกไม่ทนนาน โกรกผมด้วยน้ำส้มสายชูทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เมื่อสระและเซ็ทตามปกติ ผมจะหยิกเป็นลอยสลวย ทนนานสะใจหลายวัน
» ไข่สดและใหม่มากเกินไป เวลาทำไข่ต้มมักมีปัญหาปอกเปลือกยาก ไข่เป็นรอยขรุขระไม่น่ารับประทาน ลองเติมน้ำส้มสายชูครึ่งช้อนชาลงในน้ำต้มไข่ ไข่ขาวจะไม่ติดเปลือก ปอกง่ายขึ้นกว่าเดิม
» ต้มแปรงสีฟันขนแข็งๆ ในน้ำส้มสายชู ขนจะนุ่มไม่ทิ่มเหงือกให้เจ็บปากอีก
» ปัญหาหินปูนจับตามเครื่องซักผ้า เครื่องล้างชาม แก้ด้วยน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย เทใส่เครื่องพร้อมน้ำ ปิดฝา เปิดเครื่องให้ทำงานตามปกติจะเห็นเครื่องสะอาดทันตา
น้ำส้มสายชูกับเคล็ดลับบางประการ
» อยากรับประทานผัดไทย หอยทอด ขนมจีน กับถั่วงอกอวบอ้วน ขาวกรอบละก็ แช่น้ำผสมน้ำส้มสายชูไว้สักครู่
» ดอกกุหลาบช่อใหญ่ อยากให้สดอยู่นานๆ น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 5 กรัม ผสมน้ำสะอาด 5 ถ้วย ด้วยสูตรนี้รดกุหลาบทั้งช่อ
» หม้อหุงข้าวไฟฟ้าใช้ไปนานๆ เกิดอาการน่าเป็นห่วง ก้นหม้อเปลี่ยนจากขาวเป็นดำ ผสมคราบไคลน้ำข้าวจับหนาเตอะ อย่าใช้ฝอยขัดหม้อหรือใยเหล็กไปขัดเข้านะ เดี๋ยวหม้อเป็นรอยขีดข่วน หมดสวย ซ้ำพาเอาคุณภาพเสื่อม สารเคลือบผิวออกไปด้วย
สูตรเด็ดเคล็ดไม่ลับ ก็น้ำส้มสายชูเจ้าเดิมครึ่งส่วน ผสมน้ำ 1 ส่วน เติมลงหม้อ เสียบปลั๊ก รอจนเดือดปุดๆ จึงถอดปลั๊ก เทน้ำทิ้ง แล้วล้างตามปกติคุณจะได้หม้อที่สะอาดเหมือนเดิม
» หยดน้ำส้มสายชูลงบนแว่นตาเช็ดด้วยผ้านุ่ม รอยขีดข่วนจะหายไป พร้อมคราบเหงื่อไคล
» เสื้อผ้าสีขาวสะอาด มักกลายเป็นสีขาวขุ่นเข้าทุกที เมื่อใช้ไปนานๆ เพียงผสมน้ำส้มสายชูลงขณะซัก วิธีนี้ผ้าจะขาวสะอาดยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องใช้น้ำยาซักผ้าขาวให้ผ่าเปื่อยก่อนเวลา
» ลองใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำสะอาดชำระล้างผมในน้ำครั้งสุดท้าย ดูสักครั้งจะพบว่า ความเปรี้ยวของน้ำส้มสายชู ช่วยล้างแชมพูออกได้สะอาดหมดจดเส้นผมเป็นเงางาม มีน้ำหนัก ปราศจากรังแคด้วย

"น้ำส้มสายชูราคาย่อมเยาเพียงขวดเดียว ที่มีอยู่ในครัว สามารถทำประโยชน์สารพัดอย่าง สุดแต่เราจะสร้างสรรค์ให้ถูกวัตถุประสงค์ ตรงตามความต้องการได้ไม่ยากนัก ในภาวะเงินทองเป็นของหายากนี้ น้ำส้มสายชูคงช่วยคุณประหยัดแรงงาน และค่าใช้จ่ายได้ดีทีเดียว"
แช่ผักชีสักก้านในน้ำส้มสายชู ดูว่าใบไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เพื่อทดสอบว่าเป็นน้ำส้มสายชูแท้

ขอบคุณ by . horapa